Last updated: 16 มี.ค. 2567 | 1409 จำนวนผู้เข้าชม |
Servcomp ได้รวบรวม 7 ประโยชน์ของเทคโนโลยี AI ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ และช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้ธุรกิจได้ระยะยาว
1. การใช้ทรัพยากรภายใน Data Center จะเติบโตขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการใช้ GPU และ Storage
AI นั้นต้องทำการเรียนรู้จากข้อมูล และประมวลผลอย่างรวดเร็วด้วย GPU เพื่อให้การวิเคราะห์ข้อมูลใดๆ เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ให้ภาคธุรกิจสามารถนำผลลัพธ์ไปใช้งานได้อย่างทันท่วงที ดังนั้นไม่ว่าองค์กรจะทำ AI ภายใน Data Center ของตนเอง หรือใช้บริการ Cloud ก็ตาม การใช้งานทรัพยากรในส่วนของ GPU และ Storage เองก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และก็ต้องมีระบบเครือข่ายความเร็วสูงสำหรับรองรับการเชื่อมต่อข้อมูลปริมาณมหาศาลพวกนี้ให้ได้อย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน ดังนั้นหากจะทำระบบ AI ใช้งานภายในองค์กรแบบ On-premise ก็อาจต้องคิดประเมินเผื่อถึง IT Infrastructure ที่มีอยู่ในองค์กร โดยเฉพาะระบบไฟ กับระบบระบายความร้อนให้ดีด้วย
2. การนำ Security Intelligence มาใช้งานจะเกิดขึ้นได้จริงภายในองค์กร
การนำ AI มาใช้ในการช่วยรักษาความปลอดภัยก็เป็นอีกทางหนึ่งที่น่าสนใจ ตอบรับกับแนวโน้มการเติบโตของ Security Analytics, Threat Intelligence และ Entity Behavior Analytics (UEBA) ที่นำ Machine Learning และ Algorithm ต่างๆ มาใช้ในการตรวจจับและยับยั้งภัยคุกคามที่นับวันจะยิ่งมีความซับซ้อนสูง และ AI เองก็มีแนวโน้มที่จะได้ถูกนำมาผสานรวมในระบบเหล่านี้ในอนาคต
3. AI จะสามารถช่วยดูแลระบบ IT Infrastructure เกิดป็น Intelligent Monitoring ได้
การตรวจสอบการทำงานของระบบ IT Infrastructure ว่ายังคงปกติหรือไม่ด้วย AI กลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากในช่วงเวลาที่ Data Center เติบโตอย่างรวดเร็วอย่างทุกวันนี้ โดย AI จะสามารถทำการตรวจสอบข้อมูลการทำงานของระบบต่างๆ ได้ในเชิงลึกอยู่ตลอดเวลา และรายงานผลมายังเหล่าผู้ดูแลระบบ ทำให้การตรวจสอบการทำงานของระบบต่างๆ เป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ง่ายดาย และแม่นยำมากยิ่งขึ้น และก็มีผู้ผลิตหลายรายที่เริ่มพัฒนาเทคโนโลยี AI สำหรับการทำ IT Monitoring โดยเฉพาะแล้ว
4. งานของฝ่าย Help Desk จะมีความเป็นอัตโนมัติสูงขึ้น
เทคโนโลยี Virtual Assistant นั้นได้เริ่มถูกนำมาปรับใช้เพื่อทำหน้าที่เป็นระบบ Help Desk ให้กับเหล่าผู้ใช้งานในองค์กรแล้ว ทำให้ผู้ใช้งานภายในองค์กรสามารถพูดคุยสอบถามปัญหาต่างๆ ทางด้าน IT ได้กับทาง Chatbot และแก้ปัญหาด้วยตัวเองได้มากขึ้น ในขณะที่ปัญหาที่แก้ไขได้ยากหรือมีความซับซ้อนสูง ก็อาจถูกส่งต่อไปยังเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลระบบได้ ทำให้ปริมาณภาระหน้าที่ของผู้ดูแลระบบลดน้อยลง เอาเวลาไปแก้ไขปัญหายากๆ ได้มากขึ้น และนำเวลาไปใช้ในการทำงานเชิงรุกได้มากขึ้นด้วย
5. การดูแลรักษาระบบจัดเก็บข้อมูลจะมีความเป็นอัจฉริยะมากขึ้น
AI เริ่มถูกนำมาใช้ในการดูแลรักษาระบบ Storage โดยเฉพาะแล้ว เพราะเมื่อข้อมูลได้กลายเป็นหัวใจสำคัญในการทำธุรกิจ การดูแลรักษาระบบจัดเก็บข้อมูลให้ทำงานได้อย่างถูกต้องมั่นคงอยู่เสมอก็กลายเป็นสิ่งสำคัญ ปัจจุบัน Machine Learning และ AI เริ่มถูกนำมาใช้เพื่อตรวจจับพฤติกรรมการทำงานที่ผิดปกติของระบบ Storage และทำนายล่วงหน้าว่าอุปกรณ์ใดกำลังจะมีปัญหา เพื่อให้การ Maintenance ระบบสามารถเกิดขึ้นได้ล่วงหน้าก่อนปัญหาเกิดขึ้นจริง ลด Downtime ของระบบลงได้อย่างมหาศาล
6. การบริหารจัดการ IT Infrastructure จะกลายเป็นแบบ Self-driven แทน
การนำ AI มาใช้ในการทำ Automation เพื่อบริหารจัดการระบบเครือข่ายก็เป็นอีกแนวโน้มที่อาจเกิดขึ้นได้จริงในอนาคต และเริ่มมีผู้พัฒนาเทคโนโลยีบางรายนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในระบบ Cloud ของตนเองแล้ว โดยระบบ IT Infrastructure เหล่านี้จะมี AI ที่คอยตรวจสอบการทำงานและแก้ไขการตั้งค่าของระบบต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาและปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบ IT ให้ดียิ่งขึ้น กลายเป็น Software-defined Data Center (SDDC) อย่างแท้จริง
7. พนักงานฝ่าย IT ต้องเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน แต่จะไม่ตกงานแน่นอน
เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทาง Gartner ได้ออกมาทำนายว่า AI จะเข้ามาทดแทนงาน Routine ของแผนก IT ภายในองค์กรไป เช่น งาน System Administration, งาน Help Desk, งาน Project Management และงาน Application Support อย่างไรก็ดี เหล่าผู้เชี่ยวชาญหลายรายเองก็ยังเชื่อว่า AI จะไม่ทำให้ตำแหน่งงานของแผนก IT ลดลงแต่อย่างใด เพราะถึงแม้งานบางตำแหน่งจะถูกทดแทนได้ด้วย AI แต่การมาของ AI เองก็ทำให้ตลาด IT ขาดแคลนแรงงานในกลุ่มใหม่ และแผนก IT เองก็จะมีภาระมากขึ้นในการร่วมสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับองค์กร
ดังนั้นเหล่าผู้ดูแลระบบเองก็ควรจะต้องปรับตัวด้วยการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ รอบด้านให้มากขึ้น, เรียนรู้การนำ AI มาใช้งานเพื่อทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และอาจต้องเรียนรู้ฝั่งธุรกิจมากขึ้นบ้างเพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางในอนาคต ในขณะที่ IT Manager เองก็ต้องเริ่มมองถึงการเตรียมทักษะของบุคลากรให้พร้อมต่ออนาคตด้วยเช่นกัน